พิธีการตานก๋วยสลาก
ประเพณีทานสลาก บ้างก็เรียกว่า” กิ๋นข้าวสลาก ” หรือ ” ตานก๋วยสลาก ” ซึ่งก็คืองานประเพณีทำบุญสลากภัตต์ นิยมทำกันในช่วงราวปลายเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม จะทำกันถี่มากในเดือนกันยายน เพราะถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่อดอยากของชาวบ้าน ข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในยุ้งฉางก็ใกล้จะหมด หรือหมดไปแล้ว คนที่มีข้าวเปลือกก็จะเก็บไว้กินจนกว่าจะเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ในปีต่อไป ( ในราวเดือนมกราคม ) ส่วนคนที่ซื้อกินข้าวสารก็จะหาซื้อยากและมีราคาแพง เมื่อคนทั่วไปอดอยากก็พากันคิดถึงผู้ที่เป็นญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วว่าคงจะไม่มีเครื่องอุปโภคบริโภคเช่นกัน จึงรวมกันจัดพิธีทำบุญสลากภัตต์ จัดข้าวปลาอาหารของกินของใช้ ไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนบุญให้แก่ญาติที่ล่วงลับไป โดยการทำบุญทานสลากภัตต์ จะไม่จำเพาะเจาะจงถวายแด่สงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง จึงทำสลากเขียนคำอุทิศลงในสลาก แล้วนำไปรวมปะปนกัน ให้พระภิกษุสามเณรจับสลาก หากภิกษุหรือสามเณรรูปใดจับสลากได้ ” ก๋วยสลาก ” หรือภาชนะที่บรรจุเครื่องไทยทานอันไหนก็ยกถวายแก่รูปนั้น
ประเพณีตานก๋วยสลาก
วันงานทานข้าวสลากนี้ ชาวบ้านจะนัดหมายตกลงกันว่าวันทำพิธีนั้นให้มีงาน ๒ วัน คือวันแต่งดา หรือวันสุกดิบวันหนึ่ง และวันถวายทานอีกวันหนึ่ง ในวันแต่งดาทุกหลังคาเรือนจะจัดหาวัตถุของกินของใช้ตามกำลังศรัทธามาไว้ ญาติพี่น้องที่อยู่ต่างบ้านไม่ว่าใกล้หรือไกลเมื่อรู้ข่าวก็จะพากันมาช่วย และร่วมบริจาคจตุปัจจัยสมทบในการทำบุญบำเพ็ญทานตามสายญาติของตน
พิธีถวายสลากภัตร(ตานก๋วยสลาก) ที่ทำกัน มีอยู่ 3 ประเภท คือ ประเภทที่หนึ่ง “สลากเอาเส้น” คือ ประชาชนเป็นผู้จับสลาก แล้วนำเอาไทยทานไปถวาย ส่วนประเภทที่สอง คือ สลากที่พระสงฆ์จับสลากเอาเอง และประเภทที่สาม ก็คือ สลากย้อม เป็นของพี่น้องชาวไทยยองและที่นิยมทำกันมากที่สุดก็คือ ให้พระสงฆ์จับสลากเอง
ก่อนวันทำพิธี ตานก๋วยสลาก ๑ วัน หรือ “วันดา” เป็นวันจัดเตรียมสิ่งของเครื่องไทยทาน พวกผู้ชายก็จะจัดการจักตอกสาน “ก๋วย” ไว้หลายๆ ใบ บางครอบครัวอาจจะทำหลายสิบลูกแล้วแต่ศรัทธาและกำลังทรัพย์จะอำนวยให้ ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมห่อจอกระจุกกระจิก เช่น ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม เกลือ กะปิ ปลาร้า ขนมข้ามต้ม และอาหาร เช่นห่อหมก สีย้อมผ้า ผลไม้ต่างๆ เครื่องใช้สอยต่างๆ ตามแต่ศรัทธาและฐานะ สิ่งของต่างๆ เหล่านี้จะบรรจุลงในก๋วยสลาก ซึ่งกรุดด้วยใบตองหรือกระดาษสีต่างๆ เมื่อจัดการบรรจุสิ่งของต่างๆ ลงในก๋วยเรียบร้อยแล้วก็จะเอา”ยอด” คือ สตางค์หรือธนบัตรผูกติดไม้เรียวเสียบไว้ “ยอด” ที่ใส่นั้นไม่จำกัดว่าจะเท่าใดแล้วแต่กำลังทรัพย์และศรัทธาจะอำนวยให้ เมื่อเตรียมสิ่งของดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นในวันทานสลาก เข้าก็จะใช้เด็ก ลูกหลานเอาเสื่อไปปูที่ลานวัด หรือตามศาลาบาตร และเอา “ก๋วยสลาก” ไปวางเรียงไว้เป็นแถวๆ ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะจัดเตรียมขัน(พาน) เข้าตอก ดอกไม้ ธูปเทียน ถือขัน (พาน) ไปวัดกันเป็นหมู่ๆ บ้างก็จูงมือลูกหลานไปด้วย ส่วนพวกหนุ่มๆ สาวๆ ก็ไม่เหมือนกัน ส่วนมากไปกันเกือบหมดทั้งครอบครัว เพราะถือว่าการทานสลากภัตนี้มีอานิสสงส์มาก และจะได้ช่วยกันเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระในเวลามีการเรียก “เส้นสลาก”
ก๋วยสลากที่จัดเตรียมแล้ว
“เส้นสลาก”นี้ ผู้เป็นเจ้าของ “ก๋วยสลาก” จะต้องเอาใบลานหรือกระดาษมาตัดเป็นแผ่นยาวๆ จารึกชื่อเจ้าขอไว้ และบอกด้วยว่าอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ใครบ้าง คำจารึกในเส้นสลากนั้นมักจะเขียนดังนี้ “สลากข้าวซองนี้ หมายมีผู้ข้านายแก้ว นางดี ขอทานให้กับตนตัวภายหน้า” หมายถึง ถวายทานไว้อุทิศส่วนกุศลไว้สำหรับตัวเอง เมื่อล่วงลับไปแล้วจะได้รับเอาของไทยทานนั้นในปรโลก ซึ่งเป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่า เมื่อทำบุญถวายทานไว้ในพระศาสนาแล้วเมื่อล่วงลับดับขันธ์ไปก็จะได้ไปเสวยอานิสงส์ผลบุญนั้นในโลกหน้า และจะมีการอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว “ผู้ข้าหนานเสนา บางบุ บ้านวังม่วง ขอทานไว้ถึงนางจันตาผู้เป็นแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว ขอหื้อไปรอดไปถึงจิ่มเต๊อะฯ” เป็นต้น
การแบ่ง “เส้นสลาก” ในแบบฉบับเดิมของ “ชาวบะเก่า” (คนโบราณ) ให้เป็นที่เข้าใจของท่านผู้อ่านสักเล็กน้อย ในสมัยที่พวกชาวบ้านยังไม่รู้หนังสือ ไม่รู้จักคิดเลขอยู่นั้น การแบ่ง”ก๋วยสลาก” จะต้องตก “เส้นสลาก”เป็นกองๆ รวม ๓ กอง กองหนึ่งคือของพระเจ้า”(ของวัด) ส่วนอีก ๒ กอง นั้นเฉลี่ยออกไปตามจำนวนพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาร่วมในงานทำบุญ หากมีเศษเหลือก็มักจะปัดเป็นของพระเจ้าเสีย
พิธีการถวายก๋วยสลาก
ในวันงาน ตานก๋วยสลาก ชาวบ้านก็จะมากันทั้งบ้านทั้งเด็กหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่ นำเสื่อ นำโต๊ะมาวางก๋วยสลาก แล้วนำเอาเส้นสลากไปรวมกัน เผื่อเอาคละกัน แล้วแบ่งเส้นสลากให้พระสงฆ์ที่มาในวันนั้น “เส้นสลาก” ที่แบ่งปันให้พระภิกษุ สามเณรที่นิมนต์มาจากวัดต่างๆ นั้น เมื่อพระภิกษุ สามเณร ได้รับส่วนแบ่งแล้ว ก็จะไปยึดชัยภูมิแห่งใดแห่งหนึ่งในวัดและจัดการออกสลาก คือ อ่านเชื่อในเส้นสลากดังๆ หรือให้ลูกศิษย์ (ขะโยม) ที่ไปด้วยนั้นตะโกนตามข้อความที่เขียนไว้ในเส้นสลาก หรือ เปลี่ยนเป็นคำสั้นๆ เช่น “ศรัทธาหนานใจวงศ์ บ้านวังม่วงมีไหมเหอ” เมื่อผู้เป็นเจ้าของได้ยินหรือมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ยิน ก็จะไปบอกให้เจ้าของ “ก๋วยสลาก” ซึ่งบางรายก็จะหิ้ว “ก๋วย” ไปตามหาเส้นสลากตามลานวัด การเที่ยวหาเส้นสลากนี้เป็นที่น่าสนุกสนานมาก ทั้งพวกหนุ่มๆ สาวๆ และผู้เฒ่าผู้แก่ ก็จะหิ้ว “ก๋วยสลาก” ออกตามเส้นสลากกันขวักไขว่ ทุกคนจะมีใบหน้าแช่มชื่นผ่องใส ก็จะถือโอกาสช่วยๆ สาวๆ หาเส้นสลากเป็นการผูกไมตรีไปด้วย เมื่อพบเส้นสลากองตนแล้วก็จะเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระ พระก็จะอ่านข้อความในเส้นสลากให้ฟังอีกครั้งหนึ่งแล้วรับเอา “ก๋วยสลาก” และกล่าวอนุโมทนาให้พร แล้วก็คืนเส้นสลากนั้นให้เจ้าของสลากไป เจ้าของสลากก็นำเอาเส้นสลากนั้นไปรวมไว้ในวิหาร เมื่อเสร็จงาน “แก่วัด” หรือมรรคนายกก็จะเอาเส้นสลากนั้นไปเผาไฟหรือทิ้งเสีย ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
การ “ทานก๋วยสลาก” นี้นอกจากจะมี “ก๋วยเล็ก” แล้ว ผู้ที่มีฐานะดี การเงินไม่ขัดสน ก็จะจัดเป็นพิเศษที่เรียกว่า “สลากโชค” สลากโชคนี้ทำเป็นพิเศษกว่าสลากธรรมดา และในสมัยก่อนมักจะทำเป็นรูปเรือนหลังเล็กๆ มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น หม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยชาม เครื่องนอนหมอนมุ้ง เสื่ออ่อน ไม้กวาด เครื่องนุ่งห่ม อาหารสำเร็จรูป ๑ สำรับ และรอบๆ เรือนหลังเล็กนั้นจะมีต้นกล้วย ต้นอ้อยผูกติดไว้ และยังมี “ยอด” เงินหลายสิบ หรือปัจจุบันก็เป็นร้อยๆ บาท ผูกติดไว้ด้วย สลากโชคนี้บางคนก็อุทิศส่วนกุศลให้บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว สลากโชคนี้เจ้าของจะตบแต่งประณีตสวยงามกว่าสลากธรรมดา บางรายเจ้าของก็เอาเครื่องประดับอันมีค่า สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือหรือเข็มขัดนาค เข็มขัดเงินใส่ลงไปด้วย แต่ไม่ได้ “ทาน” ไปจริงๆ เมื่อถวายสลากแล้วก็มักจะขอ “บูชา”คืน การเอาของมีค่าใส่ลงไปเช่นนั้น ผู้ถวายมักจะอุทิศส่วนกุศลนั้นๆ ให้ตนเอง เพราะเชื่อว่าเมื่อตายไปแล้วหากไปเกิดในภพอื่นๆ ก็จะได้รับสิ่งของที่ตนถวายอุทิศไปอีกด้วย